ทฤษฎีพัฒนาการ
ทฤษฎีพัฒนาการของ
อิริคสัน (Erikson)
ประวัติของอิริคสัน
อิริคสัน ค.ศ.1902 เป็นนักจิตวิเคราะห์ที่มีชื่อของอเมริกา
และจัดอยู่ในกลุ่มฟรอยด์รุ่นใหม่ เกิดที่เมืองแฟรงเฟิต ประเทศเยอรมัน
ต่อมาได้ย้ายไปอยู่ประเทศอเมริกาในปี ค.ศ. 1933
และเป็นผู้วิเคราะห์เกี่ยวกับเด็กเป็นคนแรกในนครบอสตัน
เห็นว่าการจะทำความเข้าใจพฤติกรรมเด็กจะต้องศึกษาจากการอบรมเลี้ยงดู สภาพสังคม
และความเป็นอยู่ของเด็ก
ปัญหาที่นำมาวิเคราะห์นั้นจะอธิบายเชื่อมโยงระหว่างจิตวิทยากับสังคมวิทยาในรูปแบบของมนุยวิทยา
ซึ่งมีแนวความคิดว่ามนุษย์ต้องพึ่งสังคมและสังคมก็ต้องพึ่งมนุษย์
มนุษย์มีวิวัฒนาการที่สลับซับซ้อนและผ่านขั้นตอนต่างๆของธรรมชาติหลายขั้นตอน
อีริคสัน
เป็นลูกศิษย์ของฟรอยด์ได้สร้างทฤษฎีนี้ขึ้นในแนวทางความคิดของฟรอยด์
แต่ได้ดำเนินความสำคัญทางด้านสังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม ด้านจิตใจ
ว่ามีบทบาทในการพัฒนาบุคลิกภาพ ความคิดของอีริคสันต่างกับฟรอยด์หลายประการ เช่น
เห็นความสำคัญของ Ego มากกว่า Id และถือว่าพัฒนาการของคนไม่ได้จบแค่วัยรุ่น
แต่ ต่อไปจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต คือ วัยชรา และตอนที่ยังมีชีวิตอยู่
บุคลิกภาพของคนก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
พัฒนาการทางบุคลิกภาพ 8
ขั้นตอนของอิริคสัน
1.
ความไว้วางใจกับความไม่ไว้วางใจ (Trust VS. Mistrust) (ในช่วง0 -1 ปี)
ถ้าเด็กได้รับความรักใคร่ที่เหมาะสม
ทำให้เขารู้สึกว่าโลกนี้ปลอดภัยน่าอยู่และไว้วางใจได้
แต่ถ้าตรงกับข้ามเด็กก็จะรู้สึกว่าโลกนี้เต็มไปด้วยอันตรายไม่มีความปลอดภัย
มีแต่ความหวาดระแวง
2.
ความเป็นตัวของตัวเองกับความคลางแคลงใจ (Autonomy VS. Doubt)(ในช่วง2 – 3 ปี)
เด็กในวัยนี้จะเริ่มพัฒนาความเป็นตัวของตัวเอง
รู้สึกว่าตนเองมีความสำคัญและอยากเอาชนะสิ่งแวดล้อมหรืออำนาจที่มีอยู่
พ่อแม่จึงควรระวังในเรื่องความสมดุลในการเลี้ยงดู ควรให้โอกาสและกำลังใจต่อเด็ก
เด็กจะพัฒนาความเป็นตัวเอง มีความมั่นใจ รู้จักอิสระที่จะควบคุมตนเอง
แต่ถ้าพ่อแม่ไม่ให้โอกาสหรือทำแทนเด็กทุกอย่าง
เด็กจะเกิดความคลางแคลงใจในความสามารถของตนเอง
3.
ความริเริ่มกับความรู้สึกผิด (Initiative
VS. Guilt) (ในช่วง4 – 5 ปี)
การมีส่วนร่วมในกิจกรรมตลอดถึงการใช้ภาษาจะช่วยให้เด็กเกิดแง่คิดในการวางแผนและการริเริ่มทำกิจกรรมต่างๆ
ก็จะเป็นการส่งเสริมทำให้เขารู้สึกต้องการที่จะศึกษาค้นคว้าต่อไปเด็กก็จะมีความคิดริเริ่ม
แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าผู้ใหญ่คอยเข้มงวด ไม่เปิดโอกาสให้เด็ก ตำหนิอยู่ตลอดเวลา
เขาก็จะรู้สึกผิดเมื่อคิดจะทำสิ่งใดๆ นอกจากนี้เขาก็จะเริ่มเรียนรู้บทบาททางเพศมาตรฐานทางศีลธรรมและการควบคุมอารมณ์
4.
ความขยันหมั่นเพียรกับความรู้สึกต่ำต้อย (Industry VS. Inferiority) (ในช่วง6 – 12 ปี)
เด็กในวัยนี้จะเริ่มเข้าเรียนและต้องการเป็นที่ยอมรับของผู้อื่น
มีพัฒนาการทางด้านความขยันขันแข็ง โดยพยายามคิดทำ คิดผลิตสิ่งต่างๆ
ให้เหมือนผู้ใหญ่ด้วยการทุ่มเททั้งกำลังกายและกำลังใจ
ถ้าเขาได้รับคำชมเชยก็จะเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดกำลังใจ มีความมานะพยายามมากขึ้น
แต่ถ้าตรงกันข้ามเด็กไม่ได้รับความสนใจหรือผู้ใหญ่แสดงออกมาให้เขาเห็นว่าเป็นการกระทำที่น่ารำคาญเขาก็จะรู้สึกต่ำต้อย
5.
ความเป็นเอกลักลักษณ์กับความสับสนในบทบาท (Identity VS. Role Confusion) (ในช่วง12 – 17 ปี)
เป็นช่วงที่เด็กย่างเข้าสู่วัยรุ่น
และเริ่มพัฒนาเอกลักษณ์ของตนเองว่าตนคือใคร ถ้าเขาค้นหาตนเองได้
เขาจะแสดงบทบาทของตนเองได้อย่างเหมาะสม แต่ถ้าตรงกันข้ามเขาค้นหาเอกลักษณ์ของตนไม่พบเขาจะเกิดความสับสนและแสดงบทบาทที่ไม่เหมาะสมหรือไม่สอดคล้องกับตนเอง
6.
ความผูกพันกับการแยกตัว (Intimacy
VS. Isolation) (ในช่วง18- 34 ปี)
เป็นขั้นของการพัฒนาทางด้านความรัก
ความผูกพัน เมื่อบุคคลสามารถค้นพบเอกลักษณ์ของตนเองได้แล้ว ก็เกิดความรู้สึกต้องการมีเพื่อนสนิทที่รู้ใจ
สามารถปรับทุกข์ซึ่งกันและกันได้ ตลอดถึงแสดงความยินดี และเสียสละให้แก่กัน
แต่ถ้าพัฒนาการในช่วงนี้ล้มเหลวไม่สามารถสร้างความรู้สึกเช่นนี้ได้
เขาก็จะขาดเพื่อนสนิท หรือเกิดความรู้สึกต้องการจะชิงดีชิงเด่น
ชอบทะเลาะกับผู้อื่น รู้สึกว้าเหว่เหมือนถูกทอดทิ้ง ซึ่งจะนำไปสู่การแยกตัวเอง
และดำเนินชีวิตอย่างโดดเดี่ยว
7.
การทำประโยชน์ให้สังคมกับการคิดถึงแต่ตนเอง (Generativity VS. Self Absorption) (ในช่วง35 – 60 ปี)
เป็นช่วงของวัยกลางคน
ซึ่งมีความพร้อมที่จะสร้างประโยชน์ให้สังคมได้เต็มที่ ถ้าพัฒนาการแต่ละขั้นตอนที่ผ่านมาดำเนินไปด้วยดี
มีการดูแลรับผิดชอบเอาใจใส่ต่อบุตรหลานให้มีความสุข
มีการอบรมสั่งสอนบุตรหลานให้เป็นคนดีต่อไปในอนาคต
แต่ถ้าตรงกันข้ามก็จะไม่ประสบความสำเร็จ เขาจะเกิดความรู้สึกท้อถอย
เบื่อหน่ายชีวิต คิดถึงแต่ตนเองไม่รับผิดชอบต่อสังคม
8.
บูรณาการกับความสิ้นหวัง (Integrity
VS. Despair) (ในช่วง60 ปีขึ้นไป)
เป็นช่วงของวัยชราซึ่งเป็นวัยสุดท้าย ถ้าบุคคลผ่านขั้นตอนต่าง ๆ
มาด้วยดี ก็จะมองอดีตเต็มไปด้วยความสำเร็จ มีปรัชญาชีวิตตนเอง
ภูมิใจในการถ่ายทอดประสบการณ์ต่างให้แก่ลูกหลาน แต่ถ้าตรงกันข้ามกันชีวิตมีแต่ความล้มเหลว
ก็จะเกิดความรู้สึกสิ้นหวังในชีวิต
เสียดายเวลาที่ผ่านมาไม่พอกับชีวิตในอดีตไม่ยอมรับสภาพตนเอง
เกิดความคับข้องใจต่อสภาพความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ขาดความสงบสุขในชีวิต
พลังอีโก้ (Ego strength)
แอริคสัน กล่าวว่า Ego เป็นคุณสมบัติที่พึงมีพึงเป็น
เมื่อบุคคลสามารถแก้ไขปัญหาวิกฤติ ทางด้านจิตวิทยาสังคมในแต่ละขั้นตอนของชีวิตทั้ง
8 ขั้นตอนได้ด้วยดี ดังนั้นอีโก้ของแอริคสันได้แก่
-ความมีกำลังวังชา
การมีความหวัง
-
การรู้จักควบคุมตนเอง
-
การมีความตั้งมั่น
-
ทางการมีความตั้งมั่น และเห็นความหมายของภารกิจที่ตนกำลังทำอยู่
-
การรู้จักวิธีจัดการ
-
การมีสมรรถภาพ
-
การมีความบริสุทธิ์ใจ
การมีการมีความบริสุทธิ์ใจ
-
ความจงรักภักดีต่อคุณค่า
-
การรู้จักสร้างไมตรีกับผู้อื่น
-
การรู้จักรักและสนิทสนมกับผู้อื่น
-
การมีผลงานสร้างสรรค์
-
การให้ความอนุเคราะห์อาทรบุคคลอื่น
-
การรู้จักปล่อยวางและความฉลาดรู้เท่าทันโลกเท่าทันชีวิต
สรุป
ทฤษฎีของอีริคสัน เป็นทฤษฎีที่อธิบายพัฒนาการของชีวิตตั้งแต่งวัยทารกจนถึงวัยชรา
อีริคสันเชื่อว่า วัยแรกของชีวิตเป็นวัยที่เป็นรากฐานเบื้องต้น และวัยต่อ ๆ
มาก็สร้างจากรากฐานนี้ ถ้าหากในวัยทารกเด็กได้รับการดูแลอย่างดีและอบอุ่น
ก็จะช่วยให้เด็กมีความเชื่อถือในผู้ อื่นที่อยู่การแสดงบทบาทสมมติ อีริค อิริคสัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น